Shopify เป็น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่เป็นมิตรกับ SEO อย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่าธุรกิจจำนวนมากเลือกที่จะซื้อขายสินค้าทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาจาก Shopify นี้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้ตัวเว็บไซต์มีผู้เข้าชมสูงขึ้น คุณก็จำเป็นต้องปรับปรุง SEO สำหรับ Shopify ด้วยการเพิ่ม คีย์เวิร์ด เข้าไปเพื่อให้เว็บไซต์ได้ปรากฎอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหาของ Search engine ตามคีย์เวิร์ดนั้น ๆ
หากคุณไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับ SEO เลย เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณอาจสูญเสียลูกค้าไปได้โดยที่ไม่รู้ตัว ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ Shopify ของคุณด้วยเครื่องมือค้นหา คุณจะต้องลองสวมวิญญาณคิดในมุมของลูกค้าว่า ถ้าเขากำลังจะค้นหาสินค้าในหมวดหมู่ของคุณ เขาจะใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการค้นหา และนำคำคำนั้นมาใส่ไว้ในหน้าหลักหรือหน้าผลิตภัณฑ์ของคุณ
สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบผลิตภัณฑ์ของคุณผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ยังช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ รวมถึงสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายสินค้าได้อีกด้วย
เพิ่มประสิทธิภาพ SEO สำหรับ Shopify ด้วยการใส่ คีย์เวิร์ด ที่ 6 ตำแหน่งสำคัญ
มีตำแหน่งสำคัญ 6 แห่ง ที่คุณจะต้องใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายเข้าไป สำหรับทำการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO บนหน้าเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอย่างเหมาะสม จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย
1. SEO title หรือ meta title
SEO title หรือ meta title เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดอย่างนึงของ SEO สำหรับ Shopify เพราะนี่คือสิ่งแรกที่ผู้ใช้จะเห็นเกี่ยวกับร้านค้าออนไลน์ของคุณในหน้าผลการค้นหา โดยจะแสดงเป็นบรรทัดแรกของผลการค้นหาในรูปแบบลิงก์ที่คลิกเข้าไปได้
meta title ช่วยให้ Google และ ผู้ค้นหา ทราบว่าหน้าเว็บของคุณเกี่ยวกับอะไร เครื่องมือค้นหาจะจัดอันดับหน้าของคุณตามความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของคุณกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการค้นพบ และ สิ่งแรกที่ Google ทำตรวจสอบหาความเกี่ยวข้องนั่นก็คือ meta title ของคุณนั่นเอง ตัว SEO title ที่ดีจะช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ซึ่งส่งผลให้อัตราการคลิกเข้าชม (CTR) เพิ่มสูงขึ้น
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการตั้งชื่อ SEO title คือการวางคีย์เวิร์ดเป้าหมายไว้หน้าสุดของชื่อ เพราะ Google จะเห็นว่าหน้าเว็บไซต์นี้มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานตามหามากขึ้น และ ส่งผลให้อันดับคุณทะยานสูงขึ้น
2. Meta descriptions
Meta description คือ ข้อความสั้น ๆ จำนวนประมาณ 2 บรรทัด ที่อยู่ข้างใต้ SEO title หรือ meta title ไว้สำหรับใส่สรุปเนื้อหาในเพจแบบย่อ ๆ มาแสดงบนผลการค้นหาเพื่อกระตุ้นเชิญชวนให้ผู้คนหาอยากกดเข้าไปในเว็บไซต์
แม้ตัว Meta description อาจจะไม่ใช่ปัจจัยการจัดอันดับโดยตรงของ SEO สำหรับ อีคอมเมิร์ซ แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้คนคลิกลิงก์ของคุณในหน้าผลการค้นหามากขึ้น และ ทาง Google ก็จะใช้สิ่งนี้เพื่อพิจารณาว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหามากเพียงใดก่อนจะนำออกมาแสดงผลบนหน้าการค้นหา
ซึ่งเราสามารถตั้งค่าใส่สรุปเนื้อหาย่อ ๆ สำหรับ หน้าผลิตภัณฑ์, หน้าคอลเลกชัน, และ บล็อกโพสต์ ใน Shopify ได้อย่างง่ายดาย
3. Header tag
มี Header tag อยู่ทั้งหมด 6 ขนาด (h1 ถึง h6) ที่จะทำหน้าที่กำหนด ลำดับชั้น และ ความสำคัญ ของเนื้อหาบนเพจ แท็ก H1 เป็นส่วนหัวหลักของเพจซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุด
Shopify ใช้ชื่อของหน้านั้น ๆ เพื่อสร้างส่วนหัว H1 สำหรับเพจของคุณโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อคุณสร้างหน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ก็อย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดของคุณเข้าไปในชื่อของหน้านั้น ๆ ด้วย เพื่อให้ระบบของเครื่องมือค้นหาใช้พิจารณาว่าหน้าเพจหรือบล็อกโพสต์ดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
การใช้ส่วนหัวเพื่อจัดหมวดหมู่เนื้อหาของคุณ จะช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างหน้าเว็บของคุณได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถเข้าใจได้ว่าส่วนไหนเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของหน้าเว็บคุณ
4. Product description
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและมีความเกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO บนหน้าสำหรับ Shopify และ สำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซคำอธิบายผลิตภัณฑ์เป็นอีกส่วนสำคัญของเนื้อหาโดยรวมของคุณ เครื่องมือค้นหาจะเปรียบเทียบเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ตามส่วน Header tag เพื่อให้แน่ใจว่าหน้านั้นมีข้อมูลเกี่ยวข้องตรงตามที่ระบุเอาไว้จริง ๆ
Product description ของคุณควรเขียนจากมุมมองของผู้บริโภคเสมอ การเขียนคุณลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาสนใจจะช่วยปรับปรุง Conversion และ SEO ของเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้นไปได้
5. Image Alt Tag
เครื่องมือค้นหาสามารถอ่านข้อความในเนื้อหาของคุณได้ แต่ไม่สามารถอ่านทำความเข้าใจรูปภาพได้ ซึ่งในกรณีนี้ Image Alt Tag จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ คุณจะต้องใส่มันเข้าไปเพื่อให้มันทำหน้าที่เป็นข้อความแสดงเนื้อหาแทน เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเนื้อหาในภาพบนเว็บไซต์ของคุณคืออะไร
Alt Tag เป็นเหมือน title tags สำหรับรูปภาพ แต่ผู้เยี่ยมชมไม่สามารถมองเห็น Image Alt Tag ได้เว้นแต่จะนำเมาส์ไปวางไว้บนรูปภาพ
เครื่องมือค้นหาใช้มันสำหรับการจัดอันดับ 2 อย่างดังนี้:
1. การจัดลำดับภาพแต่ละภาพในการค้นหาภาพ
2. การจัดอันดับของหน้าที่แสดงภาพ
ผู้ใช้บางคนเป็น visual-thinkers หรือ บุคคลที่มีกระบวนการคิดเป็นภาพ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะเลือกเปลี่ยนไปใช้การค้นหารูปภาพในการตามหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความสนใจแทน ดังนั้นเมื่อคุณเขียน Image Alt Tag สำหรับรูปบนหน้าเว็บไซต์ก็ขอให้อย่าลืมที่จะใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปในภาพที่สำคัญ ๆ ที่อยากให้ผู้คนได้ค้นพบด้วยทุกครั้ง แต่ก็ขอให้ใส่คีย์เวิร์ดใน Image Alt Tag แค่เท่าที่จำเป็น เพราะการใส่ในทุกรูปจะส่งผลเสียแทนเนื่องจากระบบจะไม่สามารถแยกแยะรูปภาพที่สำคัญได้เพราะทุกภาพมีคีย์เวิร์ดอยู่หมด
เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจได้ง่ายว่ารูปภาพของคุณเกี่ยวกับอะไร แนะนำให้ใช้วลีที่อ่านแล้วถอดความไม่ยากและอธิบายถึงสิ่งที่ปรากฏในรูปภาพได้ชัดเจน ที่สำคัญที่สุดคือเพิ่มคีย์เวิร์ดสำคัญที่คุณต้องการโฟกัสใน Image Alt Tag เพื่อปรับปรุงอันดับการแสดงผลของคุณให้ดียิ่งขึ้น
6. URLs หรือ slugs
URL หรือ slugs ที่ปรับให้เหมาะสมกับ SEO เป็นสิ่งจำเป็น เพราะ Google ให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดใน URL ของคุณเพื่อใช้จัดอันดับหน้าเว็บไซต์ของคุณบนหน้าผลการค้นหาด้วย
ใน Shopify คุณสามารถปรับแต่ง slug ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของ URL ให้มีคีย์เวิร์ดที่คุณโฟกัสได้อย่างสะดวกสบาย URL ที่ดีจะเป็นตัวให้คำแนะนำแก่ผู้ค้นหาและ Google เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รออยู่บนหน้าเว็บ ดังนั้นให้ทำโดยที่ slug อธิบายเนื้อหาย่อ ๆ แต่ยังคงชัดเจน และเข้าใจง่าย เอาไว้
ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของ slugs ที่ดีของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ มีคีย์เวิร์ดครบถ้วน ด้วยคำที่โฟกัสคือคำว่า “face” ใช้สำหรับ URL ของหน้าคอลเลกชัน เช่นเดียวกับ “the-cream” สำหรับ URL ของหน้าผลิตภัณฑ์:
ปรับปรุง SEO สำหรับ Shopify เพื่อให้ร้านค้าของคุณทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น
Search Engine Optimization (SEO) คือกระบวนการที่ต้องใช้ การวิจัย, กลยุทธ์, และ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เข้ามาร่วมใช้ เราเข้าใจดีว่าการค้นคว้าและสร้างเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใครโดยใช้คีย์เวิร์ดสำหรับผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่คุณนำเสนอนั้นใช้เวลานาน
หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการปรับปรุง SEO สำหรับเว็บไซต์ Shopify ของคุณจากทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์ โปรดติดต่อเราเลย วันนี้!
ติดต่อเรา
IH Digital คือ ดิจิทัลเอเจนซี่ ที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้าน สามารถสร้าง ความเรียบง่าย และ ยืดหยุ่น ให้กับความต้องการด้าน การตลาด ของลูกค้าทั่วเอเชีย ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล มากกว่า 80 คนในสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลี และ ญี่ปุ่น พร้อมให้บริการ วางแผน, ให้คำปรึกษา, ออกแบบ, ดูแลโซเชียลมีเดีย, ซื้อสื่อโฆษณา, พัฒนาเว็บไซต์, และ SEM & SEO